เมนู

5. มโหสถชาดก



ว่าด้วยพระมโหสถบัณฑิตทรงบำเพ็ญปัญญาบารมี


[600] ดูก่อนพ่อมโหสถ พระเจ้าจุลนีพรหมทัต
เจ้ากรุงปัญจาละเสด็จยาตราทัพมาพร้อมด้วยกองทัพ
ทุกหมู่เหล่า กองทัพของพระเจ้ากรุงปัญจาละนี้นั้นพึง
ประมาณไม่ได้ มีกองช่างโยธา กองราบ ล้วนแต่
ฉลาดในสงความทั้งปวง สามารถจะนำข้าศึกมาได้
มีเสียงอื้ออึง ยังกันและกันให้รู้ด้วยเสียงกลอง และ
เสียงสังข์
มีวิทยาทางโลหธาตุ มีเครื่องประดับ มีธงเกลื่อน
กล่นด้วยช้างม้า สมบูรณ์ด้วยเหล่าคนมีศิลป์ ตั้งมั่น
ด้วยดีด้วยเหล่าทหารผู้แกล้วกล้า
กล่าวกันว่า ในกองทัพนี้ มีราชบุรุษ 10 คน
เป็นผู้ฉลาด มีปัญญา ประชุมปรึกษากันในที่ลับ
พระชนนีของพระเจ้าจุลนีพรหมทัต เป็นที่ 11 ย่อม
ทรงสั่งสอนชาวปัญจาละนครที่นั้น บรรดาชนเหล่านี้
พระราชาร้อยเอ็ดผู้เรืองยศ ตามเสด็จพระเจ้าปัญจาล-
ราช ถูกชิงแว่นแคว้น กลัวมรณภัย ตกอยู่ในอำนาจ
ของชาวปัญจลนคร เป็นผู้ทำตามพระราชกระแสที่
ดำรัส ไม่มีความปรารถนาก็จำต้องกล่าวเป็นที่รักตาม
เสด็จพระเจ้าปัญจาลราช เป็นผู้มีอำนาจมาก่อน ไม่มี
ความปรารถนาก็ต้องอยู่ในอำนาจของพระเจ้าปัญจาล-

ราช กรุงมิถิลาถูกกองทัพนั้นแวดล้อมเป็น 3 ชั้น
ราชธานีของชาววิเทหรัฐถูกขุดเป็นคูโดยรอบ กองทัพ
ที่แวดล้อมกรุงมิถิลาโดยรอบนั้น ปรากฏเหมือนดาว
บนท้องฟ้า ดูก่อนพ่อมโหสถ พ่อจงรู้ว่า พวกเราจัก
พ้นทุกข์ได้อย่างไร.

[601] ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ขอพระองค์
ทรงเหยียดพระยุคลบาทให้ผาสุก เชิญเสวย และรื่น
รมย์ในกามสมบัติเถิด พระเจ้าจุลนีพรหมทัตจะละ
กองทัพชาวปัญจาละหนีไป.

[602] พระราชามีพระราชประสงค์จะทรงทำ
สันถวไมตรี จะประทานรัตนะทั้งหลายแด่พระองค์ แต่
นี้ไป ทูตทั้งหลายผู้มีวาจาไพเราะ กล่าวคำที่น่ารัก
จงมา จงกล่าววาจาอันอ่อนหวาน เป็นวาจาที่น่ายินดี
ปัญจาลรัฐและวิเทหรัฐทั้งสองนั้น จงเป็นอันหนึ่งอัน
เดียวกัน.

[603] ดูก่อนอาจารย์เกวัฏ ท่านได้พบกับมโห-
สถเป็นอย่างไรหนอ เชิญกล่าวข้อความนั้นเถิด
มโหสถกับท่านต่างงดโทษกันแล้วกระมัง มโหสถ
ยินดีแล้วกระมัง.

[604] ข้าแต่พระจอมประชากร บุรุษที่ชื่อ
มโหสถ เป็นคนเลว ไม่น่าชื่นชม กระด้าง มิใช่
สัตบุรุษ ไม่พูดอะไรสักคำ เหมือนคนใบ้ คล้ายคน
หนวก.

[605] บทมนต์นี้เห็นได้แสนยากโดยแท้ ข้อ
ความที่ดีอันพระผู้มีความเพียรเห็นแล้ว ความจริง กาย
ของเราก็หวั่นไหว ใครจักละแคว้นของตนไปสู่เงื้อม
มือของคนอื่นเล่า.

[606] พวกเราทั้ง 6 คนเป็นบัณฑิต มีปัญญา
สูงสุดดุจแผ่นดิน มีมติสมอกันเป็นเอกฉันท์ทีเดียว
พ่อมโหสถ แม่เจ้าก็จงทำมติว่า ไปหรือไม่ไป หรืออยู่.

[607] ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์ทรงทราบ
พระเจ้าจุลนีพรหมทัตทรงมีอานุภาพมาก มีพลมาก
ก็พระราชานั้นปรารถนาเพื่อปลงพระชนมชีพของพระ
องค์ ดุจนายพรานฆ่ามฤคด้วยมฤคีฉะนั้น.
ปลาอยากกินของสดคือเหยื่อ ย่อมกลืนเบ็ดที่
คดซึ่งปกปิดไว้ด้วยเนื้ออันเป็นเหยื่อ มันย่อมไม่รู้จัก
ความตายของมัน ฉันใด ข้าแต่พระราชา พระองค์
ทรงปรารถนากาม ย่อมไม่ทรงทราบพระธิดาของพระ
เจ้าจุลนี เหมือนปลาไม่รู้จักความตายของตนฉะนั้น
ข้าพระองค์เสด็จไปยังปัญจาลนคร จักต้องสละพระ-
องค์ทันที ภัยใหญ่จักถึงพระองค์ ดุจภัยมาถึงมฤคตัว
ตามไปถึงทางประตูบ้าน ฉะนั้น.

[608] พวกเรานี่แหละเป็นคนเขลา บ้าน้ำลาย
ที่กล่าวถึงเหตุแห่งการได้รัตนะอันสูงสุด ในสำนักเจ้า
เจริญด้วยทางไถ จะรู้จักความเจริญเหมือนคนอื่นเขา
ได้อย่างไร.

[609] ท่านทั้งหลายจงไสคอมโหสถนี้ให้หาย
ไปเสียจากแว่นแคว้นของเรา เพราะเขาพูดเป็น
อันตรายแก่การได้รัตนะของเรา.

[610] แต่นั้น มโหสถบัณฑิตได้หลีกไปจาก
ราชสำนักของพระเจ้าวิเทหราช ทีนั้นได้เรียกนก
สุวบัณฑิต ชื่อ มาธุระ ตัวเป็นทูตมาสั่งว่า แน่ะสหาย
ตัวมีปีกเขียว เจ้าจงมาทำการขวนขวายเพื่อเรา นาง
นกสาลิกาที่เขาเลี้ยงไว้ ณ ที่บรรทมของของพระเจ้า
ปัญจาลราชมีอยู่ ก็นางนักนั้นเป็นนกฉลาดในสิ่งทั้ง
ปวง เจ้าจงถามนางนกนั้นโดยพิสดาร นางนกนั้น
รู้ความลับทุกอย่างของพระเจ้าปัญจาลราช และของ
พราหมณ์เกวัฏผู้โกสิยโคตรทั้งสองนั้น นกสุวบัณฑิต
ชื่อมาธุระ ตัวนี้ปีกเขียวรับคำมโหสถว่า เออ แล้วได้ไป
สู่สำนักนางนกสาลิกา แต่นั้นนกสุวบัณฑิตชื่อมาธุระ
นั้น ครั้นไปถึงแล้ว ได้เรียกนางนกสาลิกาตัวมีกรงงาม
พูดเพราะ มาถามว่า เธอพออดทนอยู่ในกรงงาม
ดอกหรือ เธอมีความผาสุกในเพศดอกหรือ ข้าวตอก
กับน้ำผึ้งเธอได้ในกรงงามของเธอดอกหรือ ดูก่อน
สหายสุวบัณฑิต ความสุขมีแก่ฉัน และความสบายก็
มี อนึ่ง ข้าวตอกกับน้ำผึ้งฉันก็ได้เพียงพอ ดูก่อน
สหาย ท่านมาแต่ไหน หรือว่าใครใช้ท่านมา ก่อน
แต่นี้ฉันไม่เคยเห็นท่าน หรือไม่ได้ยินเลย.

[611] ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่เขาเลี้ยงไว้ในที่บรรทม
ปราสาทของพระเจ้าสีวิราช พระราชาพระองค์นั้น
เป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม โปรดให้ปล่อยสัตว์ทั้งหลายที่ถูก
ขังจากที่ขังนั้น ๆ นางนกสาริกาตัวหนึ่งพูดอ่อนหวาน
เป็นภรรยาของฉัน เหยี่ยวได้ฆ่านางนกสาลิกานั้นเสีย
ในต้องที่บรรทม ต่อหน้าฉันผู้อยู่ในกรงงามซึ่งเห็น
อยู่ ฉันรักใคร่ต่อเธอจึงมาในสำนักของเธอ ถ้าเธอ
พึงให้โอกาส เราทั้งสองก็จะได้อยู่ร่วมกัน.

[612] นกแขกเต้าก็พึงรักใคร่กับนางนกแขก
เต้า นกสาลิกาก็พึงรักใคร่กับนางนกสาลิกา การที่
นกแขกเต้าจะอยู่ร่วมกับนางนกสาลิกา ดูกระไรอยู่.

[613] เออก็ผู้ใดใคร่ในกามกับนางจัณฑาล ผู้
นั้นทั้งหมดย่อมเป็นเช่นกับนางจัณฑาลนั้น เพราะว่า
บุคคลไม่เป็นเช่นเดียวกัน ในเพราะกามย่อมไม่มี.
พระราชมารดาของพระเจ้าสีวิ พระนามว่า
ชัมพาวดี มีอยู่ พระนางเป็นหญิงจัณฑาล ได้เป็น
พระมเหสีที่รักของพระเจ้าวาสุเทพกัณหโคตร
กินรีชื่อรัตนวดีมีอยู่ แม้นางก็ได้ร่วมรักกะดาบส
ชื่อวัจฉะ มนุษย์ทั้งหลายย่อมร่วมอภิรมย์กับมฤดีก็มี
มนุษย์และสัตว์ไม่เป็นเช่นเดียวกัน ในเพราะกามย่อม
ไม่มี เอาเถอะ แม่สาลิกาตัวพูดเพราะ ฉันจักไปละ
เพราะถ้อยคำของเธอนั้นเป็นเหตุให้รู้ประจักษ์ เธอ
ดูหมิ่นฉันนัก.

[614] ดูก่อนมาธุรสุวบัณฑิต สิริย่อมไม่มีแก่
ผู้ด่วนได้ ขอเชิญท่านอยู่ ณ ที่นี้จนกว่าจะได้เห็น
พระราชา จนได้ฟังเสียงตะโพน และได้เห็นอานุภาพ
ของพระราชา.

[615] เสียงเซ็งแซ่นี้ฉันได้ยินภายนอกชนบท
ว่า พระราชธิดาของพระเจ้าปัญจาลราชมีพระฉวี-
วรรณดังดาวประกายพรึก พระเจ้ากรุงปัญจาลราช
จักถวายพระราชธิดานั้นแก่ชาววิเทหรัฐ คือจักมีการ
อภิเษกระหว่างพระวิเทหราชกับพระราชธิดานั้น.

[616] แน่ะมาธุระ การที่เหล่าอมิตรทำวิวาห-
มงคลเช่นนี้ เหมือนกับการที่พระเจ้าปัญจาลราชจักทำ
วิวาหมงคลพระราชธิดากับพระเจ้าวิเทหราช ขออย่า
ได้มีเลย.
พระราชาผู้เป็นจอมทัพแห่งชาวปัญจาละ จัก
ทรงนำพระเจ้าวิเทหราชมาแล้ว แต่นั้นก็จักฆ่าพระ-
เจ้าวเทหราชเสีย เพราะพระเจ้าจุลนี มิใช่สหายของ
พระเจ้าวิเทหราช.

[617] เอาเถิด เธอจงอนุญาตให้ฉันไปสัก 7
ราตรี เพียงให้ฉันได้กราบทูลพระเจ้าสีวิราช และ
พระมเหสีว่า ฉันได้อยู่ในสำนกของนางนกสาลิกา
แล้ว.

[618] เอาเถิด ฉันอนุญาตให้ท่านไปประมาณ
7 ราตรี ถ้าท่านไม่กลับมายังสำนักของฉันโดย 7

ราตรี ฉันจะสำคัญตัวฉันว่า หยั่งลงแล้ว สงบแล้ว
ท่านจักมาในเมื่อฉันตายแล้ว.

[619] ลำดับนั้นแล นกมาธุรสุวบัณฑิตได้บิน
ไปแจ้งแก่มโหสถว่านี้เป็นคำของนกสาริกา.

[620] บุคคลบริโภคสมบัติในเรือนของผู้ใด
พึงประพฤติให้เป็นประโยชน์แก่ผู้นั้นทีเดียว.

[621] ข้าแต่พระจอมประชาชน เอาเถิด
ข้าพระองค์ จักไปสู่ปัญจาลบุรีที่น่ารื่นรมย์ดีก่อน เพื่อ
สร้างพระราชนิเวศน์ถวายแด่พระเจ้าวิเทหราชผู้ทรง
ยศ ข้าแต่จอมกษัตริย์ ครั้นข้าพระองค์สร้างพระ
ราชนิเวศน์ถวายแล้ว ส่งข่าวมากราบทูลพระองค์เมื่อ
ใด พระองค์พึงเสด็จไปเมื่อนั้น.

[622] ลำดับนั้น มโหสถบัณฑิตได้ไปสู่บุรีที่
น่ารื่นรมย์ดี ของพระเจ้าปัญจาลราชก่อน เพื่อสร้าง
พระราชนิเวศน์ถวายพระเจ้าวิเทหราชผู้ทรงยศ มโห-
สถสร้างพระราชนิเวศน์เพื่อพระเจ้าวิเทหราชผู้ทรงยศ
เสร็จแล้ว ภายหลังจึงส่งทูตทูลพระเจ้าวิเทหราชว่า
ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอเชิญพระองค์เสด็จมาบัดนี้
พระราชนิเวศน์ที่สร้างเพื่อพระองค์สำเร็จแล้ว.

[623] ลำดับนั้น พระเจ้าวิเทหราชพร้อมด้วย
จตุรงคเสนาเสด็จไปสู่นครอันมั่งคั่ง ที่มโหสถสร้างไว้
ในแคว้นกัปปิละ เพื่อทอดพระเนตรพาหนะอันหา
ที่สุดมิได้.

[624] ลำดับนั้น พระเจ้าวิเทหราชเสด็จไปถึง
แคว้นกัปปิละแล้ว ทรงส่งพระราชสาสน์ไปถวายพระ
เจ้าจุลนีพรหมทัตว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า หม่อมฉัน
มาเพื่อถวายบังคมพระยุคลบาทของพระองค์ ขอพระ-
องค์โปรดพระราชทานพระราชธิดาผู้งดงามทั่วองค์
ประดับด้วยราชาลังการล้วนแต่ทองคำ ห้อมล้อมด้วย
หมู่นางข้าหลวง ให้เป็นมเหสีของหม่อมฉัน ณ บัดนี้
เถิด.

[625] ดูก่อนพระเจ้าวิเทหราช พระองค์เสด็จ
มาดีแล้วเสด็จมาแต่ไกลก็เหมือนใกล้พระองค์หาฤกษ์
อาวาหมงคลไว้ หม่อมฉันจะถวายพระราชธิดาประดับ
ด้วยราชาลังการล้วนแต่ทองคำ ห้อมล้อมด้วยหมู่นาง
ข้าหลวงแก่พระองค์.

[626] ลำดับนั้น พระเจ้าวิเทหราชก็ได้ทรงหา
พระฤกษ์ ครั้นหาพระฤกษ์ได้แล้ว จึงได้ทรงส่งพระ-
สาสน์ไปถวายพระเจ้าพรหมทัตว่า ขอพระองค์โปรด
พระราชทานพระราชธิดาผู้งดงามทั่วองค์ ประดับด้วย
ราชาลังการล้วนแต่ทองคำ ห้อมล้อมด้วยหมู่นางข้า-
หลวง ให้เป็นมเหสีของหม่อมฉัน บัดนี้เถิด.

[626] หม่อมฉันจะถวายพระราชธิดาผู้งดงาม
ทั่วองค์ ประดับด้วยราชาลังการล้วนแต่ทองคำ ห้อม-
ล้อมด้วยหมู่นางข้าหลวง แด่พระองค์ในบัดนี้.

[628] กองช้าง กองม้า กองรถ กองราบ
อันเป็นกองทัพสวมเกราะตั้งอยู่ จุดคบเพลิงสว่างไสว
บัณฑิตทั้งหลายย่อมสำคัญอย่างไรกันหนอ.

[629] กองช้าง กองม้า กองรถ กองราบ
อันเป็นกองทัพสวมเกราะตั้งอยู่ จุดคบเพลิงสว่างไสว
ดูก่อนมโหสถบัณฑิต พวกนั้นจักทำอะไรกันหนอ.

[630] ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระเจ้าจุลนี-
พรหมทัตมีกำลังมาก ล้อมพระองค์ไว้ ประทุษร้าย
พระองค์ รุ่งเช้าจักปลงพระชนม์พระองค์.

[631] ใจของข้าสั่น และปากก็แห้งผาก เรา
เป็นเหมือนถูกไฟไหม้กลางแดด ไม่บรรลุถึงความ
เย็นใจ เตาของช่างทองรุ่งเรืองภายใน ไม่รุ่งเรือง
ภายนอก ฉันใด ใจของเราย่อมเร่าร้อนอยู่ภายใน
ไม่ปรากฏภายนอก ฉันนั้น.

[632] ข้าแต่บรมกษัตริย์ พระองค์เป็นผู้
ประมาทแล้ว เป็นไปล่วงความคิด มีความคิดทำลาย
เสียแล้ว บัดนี้บัณฑิตทั้ง 4 ผู้มีความคิดจงป้องกัน
พระองค์เถิด พระองค์ไม่ทรงทำตามคำของข้าพระองค์
ผู้เป็นอมาตย์ใคร่ประโยชน์แสวงหาความเกื้อกูล ทรง
ยินดีแล้วด้วยพระปีติอันเศร้าหมองของพระองค์ ดุจ
มฤคตกหลุมฉะนั้น ปลาอยากกินของสดคือเหยื่อย่อม
กลืนเบ็ดอันงอ ซึ่งปิดไว้ด้วยเนื้ออันเป็นเหยื่อ มันย่อม
ไม่รู้ความตายของตน ฉันใด ข้าแต่พระราชา พระ-

องค์เป็นผู้มีความปรารถนาในกาม ย่อมไม่ทรงทราบ
พระราชธิดาของพระเจ้าจุลนีผู้เป็นดุจเหยื่อ ราวกะ
ปลาไม่รู้จักเหยื่อคือความตายของตน ฉันนั้นนั่นเทียว
ถ้าพระองค์เสด็จนครปัญจาละ จักต้องสละพระองค์
ทันที ภัยใหญ่จักถึงพระองค์ ดุจภัยมาถึงมฤคตัวตาม
ไปถึงทางประตูบ้านฉะนั้น ข้าแต่พระจอมประชากร
บุรุษผู้ไม่ประเสริฐ เป็นเหมือนงูอยู่ในพกพึงกัดเอา
ผู้มีปัญญาไม่พึงทำไมตรีกับบุรุษเช่นนั้น เพราะการคบ
บุรุษชั่ว เป็นทุกข์โดยแท้ ข้าแต่พระจอมเกล้าประชากร
บุรุษผู้มีศีล เป็นพหูสูตนี้ พึงรู้คุณแห่งไมตรีใด ผู้มี
ปัญญาพึงทำไมตรีนั้นกับบุรุษนั้นนั่นเทียว เพราะการ
คบสัตบุรุษทั้งหลาย เป็นสุขโดยแท้.

[633] ข้าแต่พระราชา พระองค์เป็นคนเขลา
บ้าน้ำลาย ที่กล่าวถึงเหตุแห่งการได้รัตนะสูงสุดใน
สำนักข้าพระองค์ ข้าพระองค์เจริญด้วยหางไถจะรู้จัก
ความเจริญเหมือนคนอื่นเขาได้อย่างไร ท่านทั้งหลาย
จงไสคอมโหสถนี้ ให้หายไปเสียจากแว่นแคว้นของเรา
เพราะเขาพูดเป็นอันตรายแต่การได้รัตนะของเรา.

[634] ดูก่อนมโหสถ บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่
ทิ่มแทงเพราะโทษที่ล่วงไปแล้ว เจ้ามาทิ่มแทงข้าดุจ
ม้าที่เขาผูกไว้ด้วยประดับทำไม ถ้าเห็นว่าเราจะพ้นภัย
ได้ หรือเห็นว่าเราจะปลอดภัยได้ ก็จงสั่งสอนเราโดย

ความสวัสดีนั้นแหละ เจ้าจะทิ่มแทงเราเพราะโทษที่
ล่วงไปแล้วทำไม.

[635] ข้าแต่บรมกษัตริย์ กรรมของมนุษย์ที่
เป็นไปล่วงแล้ว ทำได้ยาก เป็นแดนเกิดที่ยินดีได้ยาก
ข้าพระองค์ไม่สามารถจะปลดเปลื้องพระองค์ได้ ขอ
พระองค์ทรงทราบเองเถิด ช้าง ม้า นก ยักษ์ ผู้มี
ฤทธิ์ มียศ สามารถไปได้ทางอากาศมีอยู่ ช้างเป็นต้น
ผู้มีอิทธานุภาพเห็นปานนั้น ที่พระองค์มีอยู่ แม้เหล่านั้น
ก็พึงพาพระองค์ไปได้ ข้าแต่บรมกษัตริย์ กรรมของ
มนุษย์ที่เป็นไปล่วงแล้ว ทำได้ยาก เป็นแดนเกิดที่
ยินดีได้ยาก ข้าพระองค์ไม่สามารถจะปลดเปลื้อง
พระองค์โดยทางอากาศได้.

[636] บุรุษผู้ยังไม่เห็นฝั่งในมหาสมุทร ได้ที่
พำนักในประเทศใด เขาย่อมได้ความสุขในประเทศ
นั้น ฉันใด ท่านมโหสถ ขอท่านได้เป็นที่พึ่งของ
พวกเราและของพระราชา ฉันนั้น ท่านเป็นประเสริฐ
สุดกว่าพวกข้าพเจ้าเหล่ามนตรี ขอท่านช่วยปลดเปลื้อง
พวกเราจากทุกข์เถิด.

[637] ท่านอาจารย์เสนกะ กรรมของมนุษย์
ที่เป็นไปล่วงแล้วทำได้ยาก เป็นแดนเกิดที่ยินดีได้ยาก
ข้าพเจ้าไม่สามารถจะปลดเปลื้องท่านได้ ขอท่านจง
ทราบเอาเองเถิด.

[638] ท่านจงฟังคำนี้ของข้าพเจ้า ท่านเห็นภัย
ใหญ่นั่นหรือ บัดนี้ข้าพเจ้าขอถามอาจารย์เสนกะ ท่าน
จะสำคัญสิ่งที่ควรทำอย่างไรในกาลนี้.

[639] พวกเราจงเอาไฟเผาเสียตั้งแต่ประตูหรือ
จงจับมีดฆ่ากันและกันละชีวิตเสียพลัน อย่าทันให้
พระราชาพรหมทัตฆ่าพวกเราให้ลำบากนาน.

[650] ท่านจงฟังคำนี้ของข้าพเจ้า ท่านเห็นภัย
ใหญ่นั่นหรือ บัดนี้ข้าพเจ้าขอถามอาจารย์ปุกกุสะ
ท่านจะสำคัญสิ่งที่ควรทำอย่างไรในกาลนี้.

[651] พวกเราควรกินยาพิษตายละชีวิตเสีย-
พลัน อย่าทันให้พระราชพรหมทัตฆ่าพวกเราให้
ลำบากนาน.

[652] ท่านจงฟังคำนี้ของข้าพเจ้า ท่านเห็น
ภัยใหญ่นั่นหรือ บัดนี้ข้าพเจ้าขอถามอาจารย์กามินทะ
ท่านจะสำคัญสิ่งที่ควรทำอย่างไรในกาลนี้.

[653] พวกเราพึงเอาเชือกผูกให้ตาย หรือโดด
ลงบ่อให้ตายเสีย อย่าทันให้พระราชาพรหมทัตฆ่า
พวกเราให้ลำบากเลย.

[654] ท่านจงฟังคำนี้ของข้าพเจ้า ท่านเห็น
ภัยใหญ่นั่นหรือ บัดนี้ข้าพเจ้าขอถามอาจารย์เทวินทะ
ท่านจะสำคัญสิ่งที่ควรทำอย่างไรในกาลนี้.

[655] พวกเราจงเอาไฟเผาเสียตั้งแต่ประตู
หรือจงจับมีดฆ่ากันและกันละชีวิตเสียพลัน ถ้ามโหสถ
ไม่สามารถจะปลดเปลื้องพวกเราโดยง่าย.

[656] บุคคลแสวงหาแก่นของต้นกล้วย ย่อม
ไม่ได้ฉันใด เราทั้งหลายแสวงหาอุบายเครื่องพ้นจาก
ทุกข์ ก็ย่อมไม่ประสบปัญหานั้น ฉันนั้น บุคคล
แสวงหาแก่นแห่งไม้งิ้วย่อมหาไม่ได้ฉันใด เราทั้งหลาย
แสวงหาอุบายเครื่องพ้นจากทุกข์ย่อมไม่ประสบปัญหา
นั้น ฉันนั้น การอยู่ของช้างทั้งหลายในสถานที่ไม่มี
น้ำ ชื่อว่าอยู่ในที่นี้ใช่ประเทศ เพราะว่าช้างเหล่านั้น
อยู่ในสถานที่อันไม่มีน้ำ ชื่อว่ามิใช่ประเทศ ย่อมตก
อยู่ในอำนาจของปัจจามิตรเร็วพลัน ฉันใด แม้การที่
เราทั้งหลายอยู่ในที่ใกล้ของมนุษย์ชั่ว เป็นคนพาลหา
ความรู้มิได้ ก็ชื่อว่าอยู่ในสถานที่มิใช่ประเทศ ฉันนั้น
ใจของเราสั่น และปากก็แห้งผาก เราเป็นเหมือนถูก
ไฟไหม้กลางแดด ได้บรรลุถึงความเย็นใจ เตาของ
ช่างทองรุ่งเรืองภายใน ไม่รุ่งเรืองภายนอก ฉันใด
ใจของเราย่อมเร่าร้อนอยู่ภายใน ไม่ปรากฏภายนอก
ฉันนั้น.

[647] แต่นั้นมโหสถผู้เป็นบัณฑิตที่ปัญญาเห็น
ประโยชน์ เห็นพระเจ้าวิเทหราชถึงความทุกข์ จึงได้
กราบทูลคำนี้ว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอพระองค์
อย่าตกพระหฤทัยกลัวเลย ข้าแต่พระองค์ผู้องอาจใน
ทางรถ ขอพระองค์อย่าตกพระหฤทัยกลัวเลย ข้าพระ-
องค์จักเปลื้องพระองค์ผู้ดุจดวงจันทร์ หรือดวงอาทิตย์
อันราหูจับแล้ว หรือดุจช้างจมติดในเปือกตม หรือดุจ

งูติดอยู่ในกระโปรง หรือดุจนกติดอยู่ในกรง หรือ
เหล่าปลาอยู่ในข่าย ผู้มีพลและพาหนะคุมล้อมอยู่
ให้พ้นจากความลำเค็ญ ข้าพระองค์จักยังกองทัพปัญ-
จาละให้หนีไป ดุจไล่ฝูงกาด้วยก้อนดิน ข้าพระองค์
มิได้เปลื้องพระองค์ผู้เสด็จอยู่ในที่คับขันให้พ้นจาก
ทุกข์ ชื่อว่าปัญญาของข้าพระองค์นั้นจะมีประโยชน์
อะไร หรือบุคคลเป็นข้าพระองค์นั้นเป็นอมาตย์ จะมี
ประโยชน์อะไร.

[648] แน่ะพ่อหนุ่ม ๆ พวกเจ้าจงลุกมา จง
เปิดประตูอุโมงค์ ประตูห้องติดต่อเครื่องยนต์ พระ-
เจ้าวิเทหราชพร้อมด้วยเหล่าอมาตย์ จักเสด็จไปโดย
อุโมงค์.

[649] พวกคนรับใช้ของมโหสถบัณฑิต ได้ฟัง
คำของมโหสถแล้ว จึงเปิดประตูอุโมงค์ และเครื่อง
สลักห้ามอันประกอบด้วยยนต์.

[650] เสนกะเดินไปก่อน มโหสถเดินไปข้าง
หลัง พระเจ้าวิเทหราชเสด็จดำเนินไปท่ามกลางพร้อม
ด้วยอมาตย์ห้อมล้อมเป็นราชบริพาร.

[651] พระเจ้าวิเทหราช เสด็จออกจากอุโมงค์
ขึ้นสู่เรือแล้ว มโหสถรู้ว่าพระองค์ขึ้นสู่เรือแล้ว ได้
ถวายอนุศาสน์ว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระเจ้าจุลนี
พรหมทัตนี้เป็นพระสัสสุระของพระองค์ ข้าแต่พระ-
จอมประชากร พระนางนันทาเทวีนี้เป็นพระสัสสูของ

พระองค์ การปฏิบัติพระราชมารดาของพระองค์อย่าง
ใด จงมีแก่พระสัสสูของพระองค์อย่างนั้น ข้าแต่
พระราชา พระเชษฐภาดาร่วมพระอุทรพระมารดา
เดียวกันโดยตรงของพระองค์ทรงรักใคร่อย่างใด
พระปัญจาลจันทราชกุมาร พระองค์ควรทรงรักใคร่
อย่างนั้น พระนางปัญจาลจันทีนี้ เป็นพระราชบุตรี
ของพระเจ้าพรหมทัตที่พระองค์ทรงปรารถนา พระ-
องค์จงทำความใคร่ของพระองค์แก่พระนาง พระนาง
จงเป็นพระมเหสีของพระองค์.

[652] ดูก่อนมโหสถ เจ้าจงรีบขึ้นเรือ เจ้าจะ
ยืนอยู่ริมฝั่งคงคาทำไมหนอ เราทั้งหลายพ้นจากทุกข์
แล้วโดยยาก จงไปบัดนี้เถิด.

[653] ข้าแต่พระมหาราชเจ้า การที่ข้าพระองค์
ผู้เป็นนายกแห่งเสนา มาทอดทิ้งเสนางคนิกรเสีย เอา
แต่ตัวรอด หาชอบไม่ ข้าพระองค์จักนำมา ซึ่ง
เสนางคนิกรในกรุงมิถิลาที่พระองค์ละไว้ และสิ่ง
ของที่พระเจ้าพรหมทัตประทานแล้ว.

[654] ดูก่อนบัณฑิต เจ้าเป็นผู้มีเสนาน้อย
จักข่มพระเจ้าจุลนีผู้มีเสนามากตั้งอยู่อย่างไร เจ้าเป็น
ไม่มีกำลัง จักลำบากด้วยพระเจ้าจุลนีผู้มีกำลัง.

[655] ถ้าบุคคลมีความคิด แม้มีเสนาน้อย
ย่อมชนะบุคคลผู้ไม่มีความคิด ที่มีเสนามากได้ พระ-
ราชาพระองค์เดียว ย่อมชนะพระราชาทั้งหลายได้ ดุจ
ดวงอาทิตย์อุทัยกำจัดความมืด ฉะนั้น.

[656] แน่ะเสนกาจารย์ การอยู่ร่วมด้วยเหล่า
บัณฑิตเป็นสุขดีหนอ เพราะว่ามโหสถปลดเปลื้อง
พวกเราผู้ตกอยู่ในเงื้อมมือข้าศึก ดุจบุคคลปลดเปลื้อง
ฝูงนกที่ติดอยู่ในกรง หรือฝูงปลาที่ติดอยู่ในแห ฉะนั้น.

[657] ข้าแต่พระมหาราชเจ้า บัณฑิตทั้งหลาย
นำความสุขมาแท้จริงอย่างนี้ที่เดียว มโหสถปลดเปลื้อง
พวกเราผู้ตกอยู่ในเงื้อมมือข้าศึก ดุจบุคคลปลดเปลื้อง
ฝูงนกที่ติดอยู่ในกรง หรือฝูงปลาที่ติดอยู่ในแหฉะนั้น.

[658] พระเจ้าจุลนีผู้มีกำลังมาก รักษาการ
ตลอดราตรีทั้งสิ้น ครั้นอรุณขึ้นก็เสด็จถึงอุปการนคร
พระเจ้ากรุงอุตตรปัญจาละพระนามว่าจุลนี ผู้มีกำลัง
มาก เสด็จทรงช้างที่นั่งตัวประเสริฐมีกำลังอายุ 60 ปี
ได้ตรัสการทัพกะเสนาของพระองค์ พระองค์ทรงสวม
เกราะแก้วมณีพระหัตถ์จับศร ได้ตรัสกะเหล่าทวยหาญ
ผู้รับใช้ ซึ่งชำนาญในศิลป์เป็นอันมากประชุมกันอยู่.

[659] เจ้าทั้งหลายจงไสช้างพลายมีกำลัง อายุ
60 ปี ช้างทั้งหลายจงย่ำยีนครที่พระเจ้าวิเทหราชทรง
สร้างไว้ดีแล้วเสีย ลูกศรอันขาวเช่นเขี้ยวงาปลายแหลม
คม สามารถแทงกระดูกได้ เกลื้องเกลาเหล่านี้ จง
ตกลงดังห่าฝนด้วยกำลังธนูเหล่าโยธารุ่นหนุ่มสวม-
เกราะ แกล้วกล้า มีอาวุธประกอบด้วยด้ามอันวิจิตร
เหล่าช้างใหญ่แล่นมา จงหันหน้าสู่ช้างทั้งหลาย
หอกทั้งหลายที่ขัดด้วยน้ำมันแล้ว มีแสงเป็นประกาย

วะวับรุ่งเรืองตั้งอยู่ ดังดาวประกายพรึก มีรัศมีมาก
เมื่อเหล่าโยธาของเรามีกำลัง คือ อาวุธ ทรงสังวาลคือ
เกราะ ไม่ล่าหนีในสงครามเช่นนี้ พระเจ้าวิเทหราช
จะพ้นไปได้ที่ไหน หากจะเป็นเหมือนนกบินไปทาง
อากาศ จักทำได้อย่างไร ก็โยธาของเราทั้งหมด
39,000 ซึ่งเราเที่ยวไปทั่วแผ่นดิน ไม่เห็นเทียมทัน
สามารถตัดศีรษะข้าศึกเอามาคนละศีรษะได้ อนึ่งช้าง
พลายทั้งหลายอันประดับแล้ว มีกำลัง อายุ 60 ปี
เหล่าโยธาหนุ่ม ๆ มีผิวพรรณดังทองคำงดงามอยู่บน
คอ โยธาทั้งหลายมีเครื่องประดับสีเหลือง นุ่งผ้า
สีเหลือง ห่มผ้าเฉียงบ่าสีเหลือง งดงามอยู่บนคอช้าง
ดังเทพบุตรทั้งหลายในนันทนวัน ดาบทั้งหลายมีสิ่ง
ปลาสลาดขัดลูด้วยน้ำมัน แสงวะวับ อันเหล่าโยธา
ผู้วีรบุรุษทำเสร็จแล้ว มีคมเสมอ มีคมยิ่ง เงาวับ
ดาบทั้งหลายหาสนิมมิได้ ทำด้วยเหล็กกล้ามั่นคง อัน
เหล่าโยธาผู้มีกำลัง เชี่ยวชาญในวิธีประหาร ถือเป็น
คู่มือแล้ว เหล่าโยธาผู้ถึงพร้อมด้วยความงามดังทองคำ
สวมเสื้อสีแดง กวัดแกว่งดาบย่อมงดงาม ดังสายฟ้า
แวบวับอยู่ในระหว่างก่อนเมฆ เหล่าโยธาผู้กล้าหาญ
สวมเกราะ สามารถยังธงให้สะบัดในอากาศ ฉลาด
ในการใช้ดาบและเกราะถือดาบ ฝึกมาอย่างชำนาญ
สามารถจะตัดคอช้างให้ขาดตกลง (แต่กาลก่อน) ท่าน
เป็นผู้อันหมู่ชนเช่นนี้แวดล้อม แต่กาลนี้ ความพ้นภัย

ของท่านไม่มี เราไม่เห็นราชานุภาพของท่าน ที่จะ
เป็นเหตุให้ท่านไปกรุงมิถิลาได้เลย.

[660] พระองค์ด่วนไสช้างที่นั่งตัวประเสริฐมา
ทำไมหนอ พระองค์มีพระหฤทัยร่าเริงแล้วเสด็จมา
คงจะเข้าพระทัยว่า ทรงเป็นผู้ได้ประโยชน์แล้ว ขอ
พระองค์ทรงลดแล่งธนูนั่นลงเสียเถิด ทรงทิ้งลูกธนู
เสียเถิด ทรงเปลื้องเกราะอันงาม โชติช่วงด้วยแก้ว
ไพฑูรย์แก้วมณีนั่นออกเสียเถิด.

[661] เจ้าเป็นผู้มีผิวหน้าผ่องใส และกล่าว
ถ้อยคำเคยยิ้มแย้ม ความถึงพร้อมแห่งผิวพรรณเช่นนี้
ย่อมมีในเวลาใกล้ตาย.

[662] ข้าแต่ขัตติยราช พระดำรัสที่พระองค์
ตรัสคุกคาม ไร้ประโยชน์เสียแล้ว พระองค์เป็นผู้มี
พระดำริกระจายไปทั่วแล้ว พระองค์จับพระเจ้าวิเทห-
ราชไม่ได้หรอก ดังม้าสินธพอันม้ากระจอกไล่ไม่ทัน
พระเจ้าวิเทหราชพร้อมเหล่าอมาตย์ราชบริพาร เสด็จ
ข้ามคงคาไปแล้วแต่วันวานนี้ เมื่อพระองค์จักติดตาม
ไปก็จักตก เหมือนกาบินไล่ตามพระยาหงส์ฉะนั้น.

[663] สุนัขจิ้งจอกทั้งหลายเป็นสัตว์ต่ำช้ากว่า
มฤค เห็นดอกทองกวาวบานในรัตติกาล ก็สำคัญว่า
ชิ้นเนื้อเข้าล้อมต้นอยู่ ครั้นเมื่อราตรีล่วงไปแล้ว พระ-
อาทิตย์ขึ้น สุนัขจิ้งจอกตัวเป็นสัตว์ต่ำช้ากว่ามฤค เห็น
ดอกทองกวาวบานแล้ว หมดหวัง ฉันใด ข้าแต่

พระราช พระองค์ทรงล้อมพระเจ้าวิเทหราชก็จักทรง
หมดหวังเสด็จไป เหมือนสุนัขจิ้งจอกทั้งหลายเห็น
ดอกทองกวาว ฉันนั้น.

[664] เจ้าทั้งหลายจงตัดมือและเท้า หูและจมูก
ของมโหสถผู้ปล่อยพระเจ้าวิเทหราชศัตรูของข้าซึ่งอยู่
ในเงื้อมมือแล้วไปเสีย เจ้าทั้งหลายจงเสียบมโหสถผู้
ปล่อยพระเจ้าวิเทหราชศัตรูของข้าซึ่งอยู่ในเงื้อมมือ
แล้วไปเสีย ในหลาวย่างมันให้ร้อน ดุจย่างเนื้อฉะนั้น
บุคคลแทงหนังโคที่แผ่นดิน หรือเที่ยวหนึ่งราชสีห์
หรือเสือโคร่งฉุดมาด้วยขอ ฉันใด ข้าจักให้เจ้าทั้งหลาย
ทิ่มแทงมโหสถผู้ปล่อยพระเจ้าวิเทหราชศัตรูของข้าซึ่ง
อยู่ในเงื้อมมือแล้วไปเสีย แล้วฆ่าเสียด้วยหอก ฉันนั้น.

[665] ถ้าพระองค์ตัดมือและเท้า หูและจมูก
ของข้าพระองค์ พระเจ้าวิเทหราชจักให้ตัดพระหัตถ์
เป็นอาทิแห่งพระปัญจาลจันทราโอรสพระนางปัญจาล
จันที่ราชธิดา และพระนางนันทาเทวีมเหสีของพระ-
องค์ พระเจ้าวิเทหราชจักให้ตัดพระหัตถ์เป็นต้นของ
พระราชโอรส พระราชธิดาและพระมเหสีของพระองค์
อย่างนั้นเหมือนกัน ถ้าพระองค์เสียบเนื้อข้าพระองค์
ในหลาวย่างให้ร้อน พระเจ้าวิเทหราชก็จักเสียบเนื้อ
พระปัญจาลจันทราชโอรสพระนางปัญจาลจันทีราช-
ธิดา และพระนางนันทาเทวีมเหสีของพระองค์ ย่างให้
ร้อน พระเจ้าวิเทหราชจักให้เสียบเนื้อพระราชโอรส

พระราชธิดา และพระมเหสีของพระองค์ ย่างให้ร้อน
อย่างนั้นเหมือนกัน
ถ้าพระองค์จักทิ่มแทงข้าพระองค์ด้วยหอก พระ-
เจ้าวิเทหราชก็จักให้ทิ่มแทงพระปัญจาลจันทราชโอรส
พระนางปัญจาลจันทีราชธิดา และพระนางนันทาเทวี
มเหสีของพระองค์ด้วยหอก พระเจ้าวิเทหราชจักให้
ทิ่มแทงพระราชโอรสพระราชธิดา และพระมเหสีของ
พระองค์ด้วยหอกอย่างนั้นเหมือนกัน
ข้อความดังกราบทูลมาอย่างนี้ข้าพระองค์ทั้งสอง
คือพระเจ้าวิเทหราชกับพระองค์ได้ปรึกษาตกลงกันไว้
แล้วเป็นความลับ โล่หนังมีน้ำหนัก 100 ปละ ที่ช่าง
หนังทำสำเร็จแล้วด้วยมีดของช่างหนัง ย่อมช่วย
ป้องกันตัว เพื่อห้ามกันลูกศรทั้งหลาย ฉันใด ข้า-
พระองค์เป็นผู้นำความสุข บรรเทาทุกข์ถวายพระเจ้า
วิเทหราชผู้เรื่องยศ ก็จำต้องทำลายลูกศรคือพระดำริ
ของพระองค์ ด้วยโล่หนังคือความคิดของข้าพระองค์
ฉันนั้น.

[666] ข้าแต่พระมหาราชเจ้า เชิญเถิด ขอ
เชิญพระองค์ทอดพระเนตรดูภายในเมืองของพระองค์
ซึ่งว่างเปล่า นางสนมและกุมารทั้งหลายตลอดถึง
พระชนนีของพระองค์ ข้าพระองค์ให้นำออกจาก
อุโมงค์ ถวายไปแด่พระเจ้าวิเทหราชแล้ว.

[667] เจ้าจงไปภายในเมืองของเรา ตรวจตรา
ดู คำของมโหสถนี้ จริงหรือเท็จอย่างไร.

[668] ข้าแต่พระมหาราชเจ้า มโหสถทูล
อย่างใด ข้อความนั้นก็เป็นอย่างนั้น พระราชนิเวศน์
ทั้งปวงว่างเปล่า ดุจที่ลงหากินแห่งกา.

[669] ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระนางนันทา-
เทวี เสด็จไปแล้วจากอุโมงค์นี้ เป็นผู้มีพระสรีราพยพ
อันงานสรรพ มีพระโสณีควรเปรียบกับแผ่นทองคำ
ธรรมชาติ มีปกติตรัสประภาษไพเราะเสนาะดังเสียง
ลูกหงส์.
ข้าแต่มหาราชเจ้า พระนางนันทาเทวี อันข้าพระ-
องค์น้ำเสด็จออกไปจากอุโมงค์นี้ เป็นผู้มีสรรพางด
งามน่าทัศนา ทรงพระภูษาโกไสยมีพระรูปอำไพดุจ
สุวรรณ สายรัดพระองค์นั้นก็งามทำด้วยกาญจนวิจิตร
มีพระบาทสดไสพระโลหิตขึ้นแดง อันแถลงเบญจ-
กัลยาณี ชี้ไว้เป็นแบบด้วยสามารถแห่งพระฉวี พระ
มังสา พระเกศา พระเส้นเอ็น และพระอัฐิงามดี มี
สายรัดพระองค์แก้วมณีแกมสุวรรณ ดวงพระเนตร
นั้นเปรียบกับตานกพิราบ มีพระสรีรภาพอันโสภา
ริมพระโอฐแดงดุจผลตำลึงสุกก็ปานกัน มีบั้นพระองค์
บางอย่างจะรวบกำรอบทีเดียว มีบั้นพระองค์เล็กเรี่ยว
ดุจเถานาคลดาเกิดแล้วดี และดุจกาญจนไพที พระศก
ของพระนางนันทาเทวียาวดำปลายช้อยเล็กน้อยดุจ

ปลายมีด พระนางเจ้านั้น มีดวงพระเนตรเขื่องราวกะ
ดวงตาแห่งลูกมฤคหนึ่งขวบเกิดดีแล้ว หรือดุจเปลว
เพลิงในเหมันตฤดู แม่น้ำใกล้ภูผาหรือหมู่ไม้ดาดาษ
ไปด้วยไม้ไผ่เล็ก ๆ ย่อมงดงาม ฉันใด เส้นพระโลน-
ชาติก็อ่อนงดงามฉันนั้น พระนางมีพระเพลางามดัง
งวงกุญชรงาน มีพระถันยุคลดังคู่ผลมะพลับทองงาม
เป็นที่หนึ่ง มีพระสัณฐานพึงพอดีไม่สูงนัก ไม่ต่ำนัก
พระโลมาของพระนางเจ้านั้น มีพองามไม่มากนัก
ข้าแต่พระองค์ผู้มีพาหนะสมบูรณ์ด้วยสิริ พระองค์
ทรงยินดีด้วยการทิวงคตของพระนางเป็นแน่ ข้าพระ-
องค์และพระนางนันทาเทวี จะไปสู่สำนักยมราชเป็น
แน่.

[670] เจ้ารู้เล่ห์กลอันเป็นทิพย์ หรือเจ้าได้ทำ
อุบายเพียงบังตา ในการที่เจ้าปล่อยพระเจ้าวิเทหราช
ผู้เป็นศัตรูของข้า ซึ่งตกอยู่ในเงื้อมมือข้าแล้ว.

[671] ข้าแต่พระมหาราชเจ้า บัณฑิตทั้งหลาย
ในโลกนี้ย่อมบรรลุเล่ห์กลอันเป็นทิพย์บัณฑิตชนผู้มี
ความรู้เหล่านั้น จึงเปลื้องตนจากทุกข์ได้ เหล่าโยธา
รุ่นหนุ่มเป็นคนฉลาด เป็นทหารขุดอุโมงค์ ของข้า-
พระองค์มีอยู่ พระเจ้าวิเทหราชเสด็จไปกรุงมิถิลาโดย
ทางที่ทหารเหล่านี้ทำไว้.

[672] เชิญเถิด พระเจ้าข้า ขอเชิญพระองค์
ทอดพระเนตรอุโมงค์ที่ได้สร้างไว้ดีแล้ว งามรุ่งเรือง
ด้วยระเบียบแห่งกองพลช้าง กองพลม้า กองพลรถ
และกองพลราบ ซึ่งสำเร็จดีแล้วตั้งอยู่.

[673] ดูก่อนมโหสถ บัณฑิตทั้งหลายเช่นนี้
เหล่านี้อย่างตัวเจ้า อยู่ในเรือน ในแว่นแคว้นแห่งผู้ใด
เป็นลาภของชาววิเทหรัฐ และชาวกรุงมิถิลาผู้ได้อยู่
ร่วมกับผู้นั้น.

[674] ข้าจะให้เครื่องเลี้ยงชีพ การบริหาร
เบี้ยเลี้ยง และบำเหน็จเพิ่มขึ้น 2 เท่า และให้โภค-
สมบัติอันไพบูลย์อื่น ๆ เจ้าจงใช้สอยสิ่งที่ปรารถนา
จงรื่นรมย์เถิด อย่ากลับไปหาพระเจ้าวิเทหราชเลย
พระเจ้าวิเทหราช จักทำอะไรได้.

[675] ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ผู้ใดสละท่านผู้
ชุบเลี้ยงตนเพราะเหตุแห่งทรัพย์ ผู้นั้นย่อมถูกตนเอง
และผู้อื่นติเตียนทั้งสองฝ่าย พระเจ้าวิเทหราชยังทรง
พระชนม์อยู่เพียงใด ข้าพระองค์ไม่พึงเป็นราชบุรุษ
ของพระราชาอื่นเพียงนั้น ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ผู้ใด
สละท่านผู้ชุบเลี้ยงตนเพราะเหตุแห่งทรัพย์ ผู้นั้นย่อม
ถูกตนเองและผู้อื่นติเตียนทั้งสองฝ่าย พระเจ้าวิเทห-
ราช ยังดำรงพระชนม์อยู่เพียงใด ข้าพระองค์ไม่พึง
อยู่ในแว่นแคว้นของพระราชาอื่นเพียงนั้น.

[676] ดูก่อนมโหสถบัณฑิต ข้าให้ทอง 1,000
นิกขะ และบ้าน 80 บ้านในแคว้นกาสีแก่เจ้า ข้าให้
ทาสี 400 คน และภรรยา 100 คน แก่เจ้า เจ้าจง
พาเสนางคนิกรทั้งปวงไป โดยสวัสดีเถิด.

[677] พวกเจ้าจงให้อาหารแก่ช้างและม้าเพิ่ม
ขึ้นเป็นสองเท่า เพียงใด จงเลี้ยงดูกองรถและกอง
ราบให้อิ่มหนำด้วยข้าวและน้ำ เพียงนั้น.

[678] พ่อบัณฑิต เจ้าจงพากองช้าง กองม้า
กองรถ กองราบไป ขอพระเจ้าวิเทหมหาราช จง
ทอดพระเนตรเห็นเจ้าผู้ไปถึงกรุงมิถิลา.

[679] เสนา คือ กองช้าง กองม้า กองรถ
กองราบนั้นปรากฏมากมาย เป็นจตุรงคินีเสนาที่น่า
กลัว บัณฑิตทั้งหลายสำคัญอย่างไรหนอ.

[680] ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ความยินดีอย่าง
สูงสุด ย่อมปรากฏเฉพาะแด่พระองค์ มโหสถพากอง
ทัพทั้งปวง มาถึงแล้วโดยสวัสดี.

[681] คน 4 คน นำคนตายไปทิ้งไว้ในป่าช้า
แล้วกลับไปฉัน ใด พวกเราทิ้งเจ้าไว้ในกัปปิลรัฐแล้ว
กลับมาในที่นี้ ก็ฉันนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าเปลื้อง
ตนพ้นมาได้ เพราะเหตุอะไร เพราะปัจจัยอะไร หรือ
เพราะผลอะไร.

[682] ข้าแต่พระจอมวิเทหรัฐ ข้าพระองค์
ป้องกันข้อความด้วยข้อความ ป้องกันความคิด พระ-

เจ้าข้า ใช่แต่เท่านั้น ข้าพระองค์ยังป้องกันพระราชา
ดังสาครกั้นล้อมชมพูทวีปไว้ ฉะนั้น.
พระเจ้าจุลนีพระราชทานทอง 1,000 นิกขะ
บ้าน 80 บ้านในแคว้นกาสี ทาสี 400 คน และภรรยา
100 คน แก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ได้พาเสนางคนิกร
ของข้าพระองค์ทั้งหมด มาในที่นี้โดยสวัสดี.

[683] แน่ะเสนกาจารย์ การอยู่ร่วมด้วยเหล่า
บัณฑิตเป็นสุขดีหนอ เพราะว่ามโหสถปลดเปลื้องพวก
เราผู้ตกอยู่ในเงื้อมมือข้าศึก ดุจบุคคลปลดเปลื้องฝูง
นกที่ติดอยู่ในกรง หรือฝูงปลาที่ติดอยู่ในแหฉะนั้น.

[684] ข้าแต่พระมหาราชเจ้า บัณฑิตทั้งหลาย
นำความสุขมาแท้จริงอย่างนี้ทีเดียว มโหสถปลดเปลื้อง
พวกเราผู้ตกอยู่ในเงื้อมมือข้าศึก ดุจบุคคลปลดเปลื้อง
ฝูงนกที่ติดอยู่ในกรง หรือฝูงปลาที่ติดอยู่ในแหฉะนั้น.

[685] ชาวเมืองซึ่งนับว่าเกิดในแคว้นมคธ จง
ดีดพิณทั้งปวง จงตีกลองเล็กกลองใหญ่และมโหระทึก
จงพากันโห่ร้องบันลือเสียงให้เซ็งแซ่.

[686] พวกฝ่ายใน พวกกุมาร พ่อค้า พราหมณ์
กองช้าง กองม้า กองรถ กองราบ ชาวชนบท และ
ชาวนิคม ร่วมกันนำข้าวน้ำเป็นอันมากมาให้แก่มโห-
สถบัณฑิต ชนเป็นอันมากได้เห็นมโหสถบัณฑิตกลับ
มาสู่กรุงมิถิลา ก็พาลกันเลื่อมใส ครั้นมโหสถบัณฑิต
ถึงแล้ว ก็โบกผ้าอยู่ทั่วไป.

จบ มโหสถชาดกที่ 5

อรรถกถามหานิบาต



มโหสถชาดก


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภ
พระปัญญาบารมีของพระองค์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ปญฺจาโล สพฺพ-
เสนาย
ดังนี้เป็นต้น.
ความย่อว่า วันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายประชุมกันในธรรมสภา เมื่อจะ
สรรเสริญพระปัญญาบารมีของพระตถาคต ได้นั่งสรรเสริญพระคุณของพระ
ศาสดาว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย พระตถาคตเป็นผู้มีพระปัญญาใหญ่ มี
พระปัญญากว้างขวาง มีพระปัญญาร่าเริง มีพระปัญญาลึกซึ่ง มีพระปัญญา
ดุจแผ่นดิน มีพระปัญญาแหลม มีพระปัญญาว่องไว มีพระปัญญาแทงตลอด
ย่ำยีเสียซึ่งวาทะแห่งคนอื่น ทรงทรมานเหล่าพราหมณ์ มีกูฏทันตพราหมณ์
เป็นต้น เหล่าปริพาชกมีสัพภิยปริพาชกเป็นต้น เหล่ายักษ์มีอาฬวกยักษ์เป็น
เหล่าเทวดามีท้าวสักกเทวราชเป็นต้น เหล่าพรหมมีพกพรหมเป็นต้น และ
เหล่าโจรมีโจรองคุลิมาลเป็นต้น ด้วยพระปัญญานุภาพของพระองค์ ทรงทำ
ให้สิ้นพยศ พระองค์ทรงทรมานชนเป็นอันมากประทานบรรพชาให้ตั้งอยู่ใน
มรรคผล พระศาสดามีพระปัญญาใหญ่ ด้วยประการฉะนี้. พระศาสดาเสด็จ
ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนาถึงเรื่องอะไร และ
เรื่องอะไรที่พวกเธอสนทนาค้างในระหว่าง เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้
ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในกาลนี้เท่านั้น
ตถาคตมีปัญญา แม้ในอดีตกาล เมื่อญาณยังไม่แก่กล้า ยังบำเพ็ญบุรพจริยา
เพื่อประโยชน์แก่พระโพธิญาณอยู่ ก็เป็นผู้มีปัญญาเหมือนกัน ตรัสฉะนั้นแล้ว